หลักการคิดภาษี โดยคร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เงินที่เราหามาได้ หักค่าใช้จ่ายตามประเภทของรายได้นั้นๆ เหลือเท่าไหร่ ค่อยนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีต่างๆ ที่รัฐเปิดโอกาสให้เรา จึงจะเหลือเป็นเงินได้สุทธิ ที่นำไปคิดภาษีตามอัตราภาษีแบบขั้นบันไดตามรูป
(ในเรื่องของขั้นตอน และหลักเกณฑ์ในการคิดรายได้ และค่าใช้จ่ายที่กฏหมายกำหนด ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือเว็บไซต์อื่นๆที่อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดแล้ว)
จะเห็นได้ว่า รัฐออกแบบการจัดเก็บภาษี ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีรายได้น้อย หมายความว่า ใครมีรายได้น้อย ก็จัดเก็บน้อย ใครมีมาก ก็จัดเก็บมาก
ทีนี้ คำถามก็คือ แล้วเราควรจะใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีตัวใดบ้าง
คำตอบก็คือ การลดหย่อนภาษี ให้ถือเป็นเรื่องรอง หรือเป็นผลพลอยได้จากการทำเป้าหมายทางการเงินอื่นๆของเรานั่นเอง
เพราะหากเรานำเรื่องการลดหย่อนภาษีมาคิดเป็นลำดับแรก อาจจะไม่ตอบโจทย์การวางแผนชีวิตของเรา ทำให้เราไม่บรรลุเป้าหมายที่อยากได้จริงๆ เพราะการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี มันมีราคาที่ต้องจ่าย เช่น การซื้อกองทุน LTF, RMF หรือการซื้อประกันชีวิต หรือประกันบำนาญเพื่อลดหย่อนภาษี
หากเราเป็นผู้ที่มีรายได้มาก และเหลือเงินเก็บมาก การเสียภาษีด้วยอัตราที่สูง ก็ถือเป็นการเสียประโยชน์ในการเก็บออมของเรา หากเรามีเงินเหลือจากการทำตามเป้าหมายทุกข้อแล้ว ก็อาจพิจารณาใช้สิทธิได้ หรือถ้าผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวใดที่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของเราแล้ว แถมได้สิทธิลดหย่อนด้วย เช่น LTF, RMF, ประกันชีวิต, ประกันบำนาญ เป็นต้น ก็ถือว่าได้ประโยชน์ 2 ต่อ
แต่หากเราเป็นผู้มีรายได้น้อย การลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แทนที่จะช่วยให้มีเงินเหลือมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเพิ่มภาระทางการเงินขึ้นมา เมื่อหักลบกับเงินภาษีที่ประหยัดได้ แทบจะไม่คุ้มกันเลย
ยกตัวอย่างเช่น การซื้อประกันออมทรัพย์ 100,000 บาท (ใช้สิทธิเต็มที่) แต่ฐานภาษีอยู่ที่ 10% กลายเป็นว่า เพิ่มภาระทางการเงินปีละ 100,000 บาท แต่ได้เงินคืนภาษีแค่ 10,000 บาท แล้วถ้าการเก็บเงินปีละ 100,000 เพื่อซื้อประกัน ทำให้เราไม่มีเงินเหลือเก็บ เพื่อเติมเต็มเป้าหมายอื่นๆอีกเลย ก็ถือว่าวางแผนผิดพลาด และได้ไม่คุ้มเสีย
เพราะฉะนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ในการลดหย่อนภาษี ต้องดูที่ความสามารถของเรา และที่สำคัญคือ เป้าหมายทางการเงิน เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน การป้องกันความเสี่ยง การเก็บเงินเกษียณ การเก็บเงินการศึกษาบุตร ว่าเราได้ทำเป้าหมายนั้นก่อนแล้วรึยัง
(ผมได้ทำแบบฟอร์มในการวางแผนภาษีอย่างง่ายๆไว้ใน Excel เรื่องแผนการเงินส่วนบุคคล ไปดาวน์โหลดมาลองใช้ได้เลยครับ –> ดาวน์โหลดแผนการเงินส่วนบุคคล)
พูดถึงหลักการไปแล้ว ทีนี้มาดูว่า เรามีสิทธิในการลดหย่อนอะไรบ้าง
รายการหักลดหย่อน / ยกเว้นภาษี | ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี (ภ.ง.ด.90 / 91) |
---|---|
1.1 ผู้มีเงินได้ |
30,000 บาท* คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล 60,000 บาท (หากหุ้นส่วนฯ อยู่ในประเทศไทยเพียงคนเดียวหักลดหย่อนได้ 30,000 บาท) |
1.2 คู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้) | 30,000 บาท |
1.3 บุตรที่ศึกษาในประเทศ | คนละ 17,000 บาท |
1.4 บุตรที่ไม่ได้ศึกษาหรือศึกษาในต่างประเทศ | คนละ 15,000 บาท |
1.5 ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดาของผู้มีเงินได้ ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดาของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ทั้งนี้ บิดามารดามีอายุ 60 ปีขึ้นไป และไม่มีเงินได้ พึงประเมินเกิน 30,000 บาทในปีภาษี |
คนละ 30,000 บาท |
1.6 ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพทั้งนี้ คนพิการหรือคนทุพพลภาพต้องไม่มีเงินได้ พึงประเมินเกิน 30,000 บาทในปีภาษี |
คนละ 60,000 บาท |
2.1 ผู้มีเงินได้ |
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (หักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่เกิน 90,000 บาท) หากเบี้ยประกันภัยที่จ่าย เป็นเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป ให้ยกเว้นอีกร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือค่าซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท |
2.2 คู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ | หักลดหย่อนได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท |
มารดาของคู่สมรส ที่ไม่มีเงินได้ |
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท |
|
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (หักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่เกิน 490,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง) |
เงินได้ตามจำนวนที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม |
ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับ เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน |
เงินได้ตามจำนวนที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม |
ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท |
|
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
|
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
|
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ของค่าจ้างหรือเงินเดือนของการทำงาน 300 วันสุดท้าย |
10.1 ผู้มีเงินได้กู้ยืมคนเดียว |
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (หักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่เกิน 90,000 บาท) |
10.2 ผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันกู้ยืม | ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท ตามส่วนเฉลี่ยดอกเบี้ยของจำนวนผู้กู้ |
|
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท ตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม* กรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท |
12.1 ยกเว้นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา
|
2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ร้อยละ 10 ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่นก่อนหักลดหย่อนเงินบริจาค |
12.2 ยกเว้นค่าใช้จ่ายและเงินบริจาค ดังนี้
|
2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับยกเว้นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่นก่อนหักลดหย่อนเงินบริจาค(พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 515) (ฉบับที่ 519) (ฉบับที่ 520) และ (ฉบับที่ 526) พ.ศ.2554) |
12.3 ลดหย่อนเงินบริจาคทั่วไป | ตามจำนวนที่จ่ายจริง ในเดือน ม.ค. ถึง ธ.ค. แต่ ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่น |
12.4 ลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | 1.5 เท่าของจำนวนที่บริจาคจริงในเดือน ก.ย. ถึง ธ.ค. 2554 แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคทั่วไป ต้องไม่เกินร้อยละ10 ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและ ค่าลดหย่อนอย่างอื่น(พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 527) และ (ฉบับที่ 529) พ.ศ.2554) |
|
ยกเว้นตามจำนวนเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 190,000 บาท |
|
ยกเว้นตามจำนวนเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 190,000 บาท |
|
ตามจำนวนที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่าไม่เกิน 5,000,000 บาท ซึ่งได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในระหว่างวันที่ 21 ก.ย. 2554 ถึง 31 ธ.ค. 2555 เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตน เป็นจำนวนไม่เกินภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้สุทธิหรือที่ต้องชำระก่อนการคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายและเครดิตภาษี แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์นั้น ทั้งนี้ ต้องใช้สิทธิดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปีภาษีต่อเนื่องกัน โดยให้ใช้สิทธิเป็นจำนวนเท่าๆกัน ในแต่ละปีภาษี(พระราชกฤษฎีกา ฯ (ฉบับที่ 528) พ.ศ.2554) |
* อยู่ระหว่างตราเป็นกฎหมาย |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงเป็นค่าซ่อมแซมบ้าน แต่รวมกันต้องไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการใช้สิทธิในปีภาษี 2554 และปีภาษี 2555 |
* อยู่ระหว่างตราเป็นกฎหมาย |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงเป็นค่าซ่อมแซมรถยนต์ แต่รวมกันต้องไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับการใช้สิทธิในปีภาษี 2554 และปีภาษี 2555 |
หมายเหตุ ข้อมูลจากกรมสรรพากร
http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html